วันแม่แห่งชาติ
ประวัติวันแม่
แต่เดิมนั้น วันแม่ของชาติได้กำหนดเอาไว้วันที่ 15 เมษายนของทุก ๆ ปี ทั้งนี้เป็นไปตามมติของคณะรัฐมนตรีประกาศรับรอง เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2493 ซึ่งได้พิจารณาเห็นว่าการจัดงานวันแม่ของสำนักวัฒนธรรมฝ่ายหญิง สภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้รับมอบหมายให้จัดงาน วันแม่ มาตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2493 เป็นครั้งแรกเป็นต้นมานั้นได้รับความสำเร็จด้วยดี ด้วยประชาชนให้การสนับสนุน จนสามารถขยายขอบข่ายของงานให้กว้างขวางออกไป
มีการจัดพิธีกรรมทางพระพุทธศาสนา การประกวดคำขวัญวันแม่ การประกวดแม่ของชาติ เพื่อให้เกียรติและตระหนักในความ สำคัญของแม่ และเพื่อเพิ่มความสำคัญของวันแม่ให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้งานวันแม่จึงเป็นวันแม่ประจำปีของชาติตามประกาศของรัฐบาลฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม แต่โดยทั่วไปเรียกกันว่าวัน แม่ของชาติ
ต่อมาถึง พ.ศ.2519 ทางราชการได้เปลี่ยนใหม่ให้ถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ คือ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ เริ่มในปี พ.ศ.2519 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน
กลอนวันแม่
อุ่นไอรัก...จากแม่
กลิ่นความรักหอมนวลอวลไออุ่น
มือละมุนเนียนนุ่มอุ้มโอบขวัญทะนุถนอมตระกรองกอดยอดชีวันประครองป้องผองภยันอันตราย
ที่ถ่ายทอด "คำรัก" หลากความหมาย
กี่เปรียบเปรยสรรหามาบรรยาย
ฤาเทียบสายใยรักจาก...มารดา
แม่คือ "ครู" สอนอ่านเขียนเรียนภาษา
ให้คำเตือน...เสมือนแสงแห่งปัญญา
ให้วิชาคือ "รู้คิด" ที่ติดตน
ต้องการคำปรึกษาหาเหตุผล
แล้วหันมองรอบกาย...คล้ายมืดมน
ยังพบคนหนึ่ง...คือแม่...คอยแลมอง
แม่...เลอเลิศหนึ่งในใจไม่เป็นสอง
แม่...สูงค่ากว่าหยาดเพชรเกร็ดสีทอง
เกินยกย่องด้วยล้านคำ...พร่ำพรรณนา
ระลึกคุณ แม่โอบอุ้มคุ้มเกศา
มือของลูกจึงเรียงร้อยถ้อยวาจา
เป็นมาลาหอม "รัก" กราบจากใจ
กี่สิบถ้อยร้อยคำรำพันพรอด
ครั้งที่ลูกยังเป็นเด็ก เล็กเล็กอยู่
ยามลูกเหนื่อยอนาทรแสนอ่อนล้า
แม่จ๋า...แม่คือยอดสตรีที่ประเสริฐ
หอมกลิ่นความรักนวลอวลไออุ่น
ขอให้คุณแม่ทุกๆท่านมีความสุขทั้งร่างกายและจิตใจ มากกกกนะค่ะ